วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การทำนาย เหตุการณ์ใหญ่ในปี 2555

ชาวมายา นอสตราดามุส และเออร์วิน ลาสซโล ต่างทำนายว่า จะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ในปี 2555 เนื่องจากอาณาจักรมายามีความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์สูงมาก
ก่อนที่จะล่มสลายไปเมื่อราว 1,000 ปีที่ผ่านมา บางคนจึงตีความคำทำนายของชาวมายา ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเกิดจากลูกอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนโลก ยังผลให้สรรพสิ่งทั้งหลายถูกทำลายลง อีกราว 500 ปีต่อมา นอสตราดามุส โหรชื่อดังชาวฝรั่งเศส พิมพ์คำทำนายในแนวเดียวกันออกมา โดยไม่ได้บ่งว่าอะไรจะทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

ต่อมาอีกราว 500 ปี เออร์วิน ลาสซโล ปราชญ์ชาวฮังการี พิมพ์คำทำนายออกมาในหนังสือชื่อ The Chaos Point : The World at the Crossroads (มีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยอยู่ในหนังสือชื่อ "กะลาภิวัตน์") ต่างกับชาวมายาและนอสตราดามุส ลาสซโลบอกว่า มนุษยชาติสามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นั้นได้ด้วยการกระทำที่เหมาะสม และ ปี 2555 จะเป็นช่วงเวลาที่โลกเดินเข้าสู่จุดพลิกผันสำคัญยิ่ง นั่นคือ โลกอาจเดินเข้าสู่ทางที่นำไปสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน หรืออาจเดินเข้าสู่ทางแห่งความล่มสลายหายนะก็ได้

เมื่อสัปดาห์ก่อนมีเหตุการณ์สามอย่าง ซึ่งมองเผินๆ แล้วไม่น่าจะเกี่ยวเนื่องกัน หรือมีผลต่อการทำนายดังกล่าวเกิดขึ้นที่นครนิวยอร์ก โคเปนเฮเกนและลอนดอน ที่นิวยอร์ก องค์การสหประชาชาติแถลงว่า ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 7 พันล้านคนในปี 2555 และจะเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ที่โคเปนเฮเกน นักวิทยาศาสตร์ราว 2,000 คนแถลงผลการศึกษา ว่า ภาวะโลกร้อนได้ ทำให้ระดับน้ำทะเลขยับตัวสูงขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการคาดหมายเมื่อสองปีก่อน ถึงราวสองเท่า ที่ลอนดอน ตัวแทนของประเทศและกลุ่มเศรษฐกิจที่เรียกว่า จี-20 ปรึกษาหาข้อตกลงสำหรับแก้วิกฤติเศรษฐกิจที่ กำลังลุกลามอยู่ในปัจจุบัน การปรึกษากันนั้นนำไปสู่การตกลงแบบกว้างๆ ซึ่งวางอยู่บนฐานของการคิดในกรอบเดิม นั่นคือ รัฐบาลจะใช้มาตรการสารพัดชนิดกระตุ้นการใช้จ่าย เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงสุดอีกครั้ง

หากพิจารณากันอย่างลึกซึ้ง เหตุการณ์ทั้งสามมีความสัมพันธ์กันสูง และมีผลโดยตรงต่อคำทำนายดังกล่าว การเพิ่มขึ้นของประชากรนำไปสู่การใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเนื่องจาก ทุกคนต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด อันเป็นปัจจัยพื้นฐานของการทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นเป็นไปได้ว่า เมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้นเป็น 7 พันล้านคนในปี 2555 ทรัพยากรโลกจะถูกใช้จนยังผลให้เกิดการขาดสมดุลร้ายแรงที่ผลักดันให้โลกเดิน เข้าสู่ทางแห่งความล่มสลายหายนะ ภาวะโลกร้อนเป็น สัญญาณเตือนภัยในระยะยาวให้มนุษยชาติหยุดใช้ทรัพยากรกันอย่างบ้าคลั่ง มิฉะนั้นวันแห่งความหายนะจะมาถึง ซึ่งจะเริ่มขึ้นในปี 2555 ส่วน สัญญาณเตือนภัยในระยะสั้น ได้แก่ การถดถอยร้ายแรงของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน แม้จะมีการมองว่า ปัญหาเกิดจากภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานของวิกฤติ มันเป็นเพียงชนวนจุดวิกฤติเท่านั้น ปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ การใช้ทรัพยากรแบบบ้าคลั่งเพื่อบริโภคเพิ่มขึ้นแบบไม่ยั้งคิดของมวลมนุษย์นำ โดยชาวอเมริกันซึ่งบริโภคมากถึงราว 6 เท่าของชาวโลก

เป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดว่า นักการเมืองที่ไปพบกัน ณ กรุงลอนดอนไม่ใส่ใจต่อปัจจัยพื้นฐานนั้นเลย ตรงข้าม พวกเขาต้องการกระตุ้นให้เกิดการใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้น นั่นเท่ากับเป็นการพยายามแก้ความเมาด้วยการดื่มเหล้าเพิ่มเข้าไปอีก ซึ่งจะทำให้โลกเดินเข้าสู่ทางของความล่มสลายหายนะตามคำทำนายของลาสซโล ฉะนั้นประชาชนคนไทยจึงไม่ควรฟังนักการเมืองสิ้นคิดเหล่านั้นและใช้วิจารณญาณ หาทางออกที่เหมาะสมกว่า ประวัติศาสตร์บ่งว่า คนไทยสามารถทำอะไรก็ได้เมื่อต้องการจะทำ คนไทยได้รับการยกย่องว่าสามารถลดการเกิดของประชากรได้อย่างรวดเร็วโดยความ สมัครใจ เมืองไทยจึงไม่มีการใช้มาตรการรุนแรงจำพวกบังคับให้มีลูกเพียงคนเดียวแบบ เมืองจีน หรือบังคับให้ทำหมันซึ่งครั้งหนึ่งรัฐบาลอินเดียนำมาใช้ คนไทยไม่ต้องเปลี่ยนฐานความคิดและทำอะไรซึ่งไม่เคยทำมาก่อน ประชากรไทยก็จะเพิ่มขึ้นต่อไปอีกไม่กี่ปีแล้วทรงตัวก่อนที่จะลดลง

เนื่องจากเราคงไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก หากลูกอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนโลก เราควรเน้นสิ่งที่เราทำได้ในด้านการใช้ทรัพยากร เกี่ยวกับเรื่องนี้ คนไทยไม่ควรทำตามคำชักจูงของรัฐบาลหลงผิด ซึ่งมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายแบบบ้าคลั่งตามแนวอเมริกันแทนการแก้ ปัญหาด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฐานของการใช้จ่ายควรอยู่ที่รายได้และความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ฉะนั้น เมื่อได้เงินมาไม่ว่าจะโดยวิธีใดรวมทั้งเงิน 2,000 บาทที่รัฐบาลจะหยิบยื่นให้ด้วยก็ไม่ควรนำไปใช้ถ้าไม่จำเป็น แต่ถ้ามีความจำเป็น อาทิเช่น ซื้อนมและมุ้งให้ลูก ควรรีบนำไปใช้ทันที หากมีเงินเหลือจึงค่อยพิจารณาซื้อหาสิ่งอื่นมาเสริมความสะดวกสบายในการดำรง ชีวิต การเปลี่ยนฐานความคิดของการใช้จ่ายให้เป็นแบบนี้ จะมีผลต่อการปรับฐานเศรษฐกิจที่นำไปสู่ความยั่งยืน

เนื่องจากการเปลี่ยนฐานของการใช้จ่ายจะทำให้คนไทยเป็นชาวโลกส่วนน้อยที่ทำเช่นนั้น ภาวะโลกร้อนและ ผลกระทบร้ายแรงของมันจึงจะยังเกิดขึ้น ฉะนั้น คนไทยต้องเตรียมรับมือไว้เสียตั้งแต่เนิ่นๆ โดยไม่ต้องรอมาตรการของรัฐบาล เริ่มด้วยการพิจารณาเรื่องทำเลของสถานที่ตั้งบ้านและลักษณะของบ้านแล้วหาทาง หนีทีไล่เรื่องน้ำท่วมไว้เสียตั้งแต่วันนี้ หากย้ายบ้านออกจากพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงสูงได้ก็ควรทำ หรือไม่ก็ต้องพยายามปรับเปลี่ยนบ้านให้เป็นแบบที่หนีน้ำท่วมได้เฉกเช่นบ้าน ทรงไทยที่มีใต้ถุนสูง และหากเป็นไปได้ควรหัดพายเรือ และหาซื้อเรือพายไว้ในบ้านด้วย

หากคนไทยส่วนใหญ่ลงมือทำตามที่เขียนมาเสียตั้งแต่วันนี้ เมืองไทยจะไม่ประสบความหายนะเช่นชาวโลกส่วนใหญ่ที่ยังหลงเดินตามทางดังที่ เคยเดินมา ซึ่งเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดแล้วว่าได้พาไปสู่ทั้งภาวะโลกร้อนและวิกฤติเศรษฐกิจ

ไม่มีความคิดเห็น: